เชื่อว่าสำหรับน้อง ๆ ที่กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และที่จบการศึกษาแล้ว ส่วนใหญ่วางแผนที่จะไปเรียนต่อในระดับชั้นปริญญาตรีที่ต่างประเทศ และประเทศที่เป็นที่นิยมในกลุ่มเด็ก ๆ ที่กำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศ คือ ประเทศอังกฤษ และ ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศ มีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ มาตรฐานสากล และเป็นที่ยอมรับในระดับโลก จึงทำให้ทั้ง 2 ประเทศมีทั้งนักเรียนและนักศึกษาจากหลายประเทศ เลือกที่จะเข้ามาเรียนต่อกันทั้งนั้น
โดยน้อง ๆ ส่วนมาก มักลังเลใจและตัดสินใจไม่ได้ ว่าจะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ หรือ เรียนต่อที่ประเทศอเมริกาดี เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ทั้ง 2 ประเทศนี้ มีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และมีความทันสมัยคล้ายกันทั้งคู่ อีกทั้งบรรยากาศ ความสวยงามของสถาปัตยกรรม ความสะดวกในกาารดำเนินชีวิต ยังมีลักษณะคล้ายคลึง ซึ่งจริง ๆ แล้ว มีความแตกต่างกันอยู่หลากหลายด้าน พร้อมทั้งยังมีข้อเปรียบเทียบให้น้อง ๆ พิจารณา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจอีกเพียบ
การเตรียมตัวสำหรับไปเรียนต่อปริญญาตรี ที่อเมริกา และ อังกฤษ
สำหรับการไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อังกฤษและอเมริกา ต้องเตรียมตัวให้ดีในหลาย ๆ ด้าน เพื่อที่จะได้เดินทางไปเรียนได้ตามที่ตั้งใจ ซึ่งรายละเอียดการเตรียมตัวไปเรียนของทั้ง 2 ประเทศ มีดังนี้
- เตรียมผลการเรียน ในระดับชั้นมัธยมให้พร้อม เพราะจำเป็นต้องใช้ยื่นกับทางมหาวิททยาลัย โดยทั้ง 2 ที่ น้อง ๆ ควรได้เกรดเฉลี่ย หรือ GPA อย่างน้อย 2.75-3.00 ขึ้นไป โดยเฉพาะวิชาหลักอย่างภาษาอังกฤษ คณิตและอื่น ๆ ควรได้เกรดไม่ต่ำกว่า 2.50 จะดีที่สุด
- คะแนนการสอบวัดผล TOEFL และ IELTS ไม่ว่าจะไปเรียนต่อประเทศอะไร ผลการทดสอบทักษาะด้านภาษาอังกฤษล้วนสำคัญ โดยคะแนนจากทั้ง 2 ที่ จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย อย่างเช่น เรียนต่อประเทศอังกฤษ ต้องสอบ IELTS ให้ได้คะแนน 5.5 ขึ้นไป และประเทศอเมริกา ต้องสอบ TOEFL ให้ได้คะแนน 70 ขึ้นไป เพราะฉะนั้นควรเตรียมตัวสำหรับการสอบวัดผลให้ดี
- เตรียมพร้อมเอกสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น จดหมายรับรองจากคุณครู เรียงความเกี่ยวกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ และกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยทำในโรงเรียน เป็นต้น
นอกจากนี้การเตรียมตัว เตรียมความพร้อมมีขั้นตอนอื่น ๆ ที่เหมือนกัน อย่างเช่น การเลือกมหาวิทยาลัยให้ตรงตามสายที่ชอบ การเตรียมตัวในเรื่องวีซ่า ความพร้อมในด้านสุขภาพและร่างกาย การศึกษาวัฒนธรรมของเมืองที่อยู่ รวมถึงการหาที่พักอาศัยในเมืองที่เรียนอีกด้วย
ข้อแตกต่างระหว่างต่อเรียนปริญญาตรีที่ อเมริกา และ อังกฤษ
ประเทศอังกฤษ และ อเมริกา เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดี มีคุณภาพ และได้รับมาตรฐานสากล จึงทำให้มีน้อง ๆ นักเรียนและนักศึกษาสนใจกันเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ขั้นตอนและรายละเอียดเรื่องการเตรียมตัว สำหรับไปเรียนต่อจะมีความคล้ายกันแล้ว แต่ทั้ง 2 ประเทศยังมีความแตกต่างกันอยู่ ซึ่งความแตกต่างที่นำมาฝากน้อง ๆ จะทำให้เห็นภาพความแตกต่างได้อย่างชัดเจน และมีความแตกต่างกัน ดังนี้
- รูปแบบการเรียน การสอน โดยหลักสูตรของทั้ง 2 ประเทศ มีความแตกต่างกันในด้านวิชาเลือก อย่างเช่น อเมริกา นักศึกษาสามารถเลือกเรียนวิชาเลือก มาเป็นวิชาหลักได้ และสามารถจัดตารางวิชาได้เอง ทำให้นักศึกษาเรียนรู้ได้หลายมิติ ในขณะที่อังกฤษ นักศึกษาสามารถลงวิชาเรียนได้ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด อีกทั้งยังเป็นการสอนเชิงลึกและทำการค้นคว้าในศาสตร์นั้น
- การบ้าน และ งานที่ได้รับมอบหมาย หากเป็นมหาวิทยาลัยในอังกฤษ จะเน้นในด้านการทำโปรเจคหรือวิจัยระยะยาว คล้ายกับการทำวิทยานิพนธ์ แต่ในขณะเดียวกัน ที่อเมริกาเน้นให้การบ้านที่น้อง ๆ สามารถกลับไปทำ ไปอ่าน และลงมือปฏิบัติจริงทุกครั้ง ทำให้นักศึกษามีความกระตือรือร้นในด้านการเรียนนั่นเอง
- ระยะเวลาในการเรียนต่อปริญญาตรี ในอเมริกามีระยเวลาในการเรียนปริญญาตรีอยู่ 4 ปี ในส่วนประเทศอังกฤษ ใช้เวลาเพียง 3 ปี จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ระยะเวลาในการเรียนต่อแตกต่างกันถึง 1 ปีเลยทีเดียว
- การทำกิจกรรม การเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ มีการทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย แต่จะเน้นไปในการโอลิมปิกวิชาการ รวมถึงความรู้ในการนำไปใช้ในสายงานมากกว่า ส่วนมหาวิทยาลัยในประเทศอเมริกา จะค่อนข้างเน้นเรื่องงานกิจกรรมมากกว่า มีการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ทำกิจกรรม กับเพื่อนร่วมสถาบันและเพื่อนต่างสถาบัน อีกทั้งทางมหาลัยจะมีการเปิดให้นักศึกษาได้พบปะผู้คนภายนอก เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์
- หอพักภายในมหาวิทยาลัย โดยมหาวิทยาลัยในอเมริกา ห้องพักมีการจัดไว้สำหรับให้นักศึกษาอยู่ร่วมกัน แชร์ แบ่งปันพื้นที่ให้กันและกัน เพื่อที่นักศึกษาจะได้มีการสร้างปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในมหาวิทยาลัย อีกทั้งหอพักจะตั้งอยู่ภายในรั้วและบริเวณมหาวิทยาลัย ส่วนหอพักของทางมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ จะเน้นให้พื้นที่ส่วนตัวให้แก่นักศึกษา ทุกคนจะได้พักห้องเดี่ยว แต่พื้นที่ส่วนกลางนักศึกษาสามารถมาใช้ร่วมกันได้ นอกจากนี้ยังมีหอพักภายนอก บริเวณมหาวิทยาลัยให้นักศึกษาเลือกพักได้อีกด้วย
- ค่าเทอม ค่าเล่าเรียน ค่าเทอมในระดับชั้นมหาวิทยาลัยของทางอเมริกา จะค่อนข้างสูงกว่าทางมหาวิทยาลัยในอังกฤษ แต่ในมหาวิทยาลัยบางแห่งค่าเทอมมีราคาใกล้เคียงกัน ขึ้นอยู่กับสิ่งอำนวยความสะดวกและระดับของมหาวิทยาลัย
- การให้เกรดนักศึกษา มหาวิทยาลัยในอเมริกาจะมีการให้เกรดนักศึกษา โดยดูและพิจารณาจากผลงาน การบ้าน และกิจกรรมทั้งหมด แต่ที่ประเทศอังกฤษ ทางมหาวิทยาลัยจะใช้คะแนนสอบปลายภาคเป็นหลัก
หวังว่าข้อมูลที่นำมาฝากในวันนี้ น้อง ๆ จะสามารถนำไปใช้ในตัดสินใจ เลือกมหาวิทยาลัยได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเลือกเรียนที่ไหน เราก็ได้รับความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างแน่นอน หากต้องการรายละเอียดและข้อมูลการเรียนต่อปริญญาตรีของทั้ง 2 ประเทศเพิ่มเติม สามารถเข้ามาสอบถามรายละเอียดได้ที่นี่ตลอดเวลา พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องการเรียนในต่างประเทศฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย