เรียนต่อปริญญาตรีที่อเมริกา

ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับความนิยมจากน้อง ๆ นักเรียน ที่กำลังจะไปศึกษาต่อต่างประเทศ เนื่องจากที่นี่มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย เป็นประเทศแห่งเสรีภาพ มีระบบการศึกษาที่ได้มาตรฐานสากล จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมอเมริกาถึงเป็นประเทศที่ เด็กส่วนมากเลือกไปเรียนต่อ ซึ่งในอเมริกามีมหาวิทยาลัยให้เลือกเป็นจำนวนมาก แต่ละที่มีมาตรฐานและคุณภาพในระบบการศึกษาที่เป็นสากล โดยส่วนใหญ่มหาวิทยาลัยที่นี่ มีบุคลากรที่มีคุณภาพจากทั่วโลก เน้นทั้งวิชาการ และความรู้ที่จะสามารถนำไปใช้ในสายงานได้ อีกทั้งยังมีมหาวิทยาลัยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก อย่างเช่น Princeton University , Harvard University , Columbia University , Stanford University เป็นต้น

โดยก่อนที่น้อง ๆ ที่จบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จะเริ่มไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่อเมริกานั้น ควรเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นด้านผลการเรียน ด้านภาษา ผลคะแนนการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL หรือ IELTS และเอกสารสำคัญที่จำเป็นต้องใช้  ควรเตรียมไว้ให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา เพราะเมื่อถึงเวลาในการใช้จริง จะสามารถนำมาใช้ได้ทันที ไม่เสียเวลาในการค้นหาอย่างแน่นอน

การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับไปเรียนปริญญาตรีอเมริกา

  1. เรื่องผลการเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษา ควรทำเกรดให้ได้ประมาณ 2.60 แต่ส่วนมากจะขึ้นอยู่กับทางมหาวิทยาลัยมากกว่า เพราะแต่ละที่มีเกณฑ์การให้คะแนนแตกต่างกัน
  2. คะแนนจากการสอบวัดละดับ SAT TOEFL และ IELTS ซึ่งคะแนนเหล่านี้ค่อนข้างสำคัญ เพราะคะแนนนี้จะเป็นเกณฑ์ที่จะบอกถึงความพร้อมในด้านภาษาอังกฤษของเรานั่นเอง
  3. เตรียม Recommendation โดย Recommendation เป็นจดหมายรับรองจากคุณครู น้อง ๆ จะต้องเตรียมไว้ 2 ฉบับ จากคุณครู 2 คน ซึ่งควรเลือกคุณครูที่มีความสนิทสนมกับตนเอง และควรเลือกคุณครูที่เป็นผู้สอนวิชาหลัก อย่างเช่น ภาษาอังกฤษ , คณิต , วิทยาศาสตร์ หรือวิชาที่ตรงกับสาขาที่เราต้องการไปเรียนต่อ อีกทั้งจดหมายของคุณครูจะส่งตรงไปถึง มหาวิทยาลัยที่เราต้องการสมัครเองโดยตรง
  4. การเขียนเรียงความเกี่ยวกับตัวเอง เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ทางมหาวิทยาลัยรู้จักเรามากยิ่งขึ้น และทราบถึงความต้องการของเราในด้านการเรียนและด้านต่าง ๆ
  5. กิจกรรมที่เคยทำ นอกจากทางมหาวิทยาลัยจะพิจารณาเรื่องเกรดของเราแล้วนั้น ยังมีการพิจารณาจากกิจกรรมที่เคยทำด้วย ไม่ว่าจะเป็น การแข่งขันกีฬา กิจกรรมเพื่อสังคม กิจกรรมภายในโรงเรียนที่แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นผู้นำ การแข่งขันทางวิชาการ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่ดูน่าสนใจ ยิ่งเป็นกิจกรรมที่แสดงถึงการมีความรับผิดชอบของเรา มีการดูแลและทำกิจกรรมนี้มาเนิ่นนาน จะยิ่งน่าสนใจพร้อมทั้งได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษอีกด้วย
  6. เลือกมหาวิทยาลัยที่เหมาะสมกับเรา น้อง ๆ ควรเลือกมหาวิทยาลัยไว้ประมาณ 3 ระดับ ซึ่งมีระดับมหาวิทยาลัยชั้นนำ ระดับมหาวิทยาลัยที่มีการแข่งขันไม่สูงมาก และมหาวิทยาลัยที่ตรงกับสายงานหรือสายการเรียนของเราโดยเฉพาะ เพราะยิ่งน้อง ๆ มีมหาวิทยาลัยเป้าหมาย จะทำให้สามารถจับทางได้ถูกว่า ควรปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพในด้านไหนเพิ่ม โดยส่วนใหญ่มักเลือกมหาวิทยาลัยที่มีการแข่งขันไม่สูงมาก เพราะมีโอกาสติดสูง แต่ไม่ต้องกังวลใจไป เพียงเตรียมตัวมาให้พร้อมให้ทุก ๆ ด้าน รับรองว่าติดมหาวิทยาลัยที่ชื่นชอบอย่างแน่นอน
  7. ตรวจสุขภาพและรักษา ก่อนที่จะเดินทางไปเรียนต่อ ควรตรวจสุขภาพร่างกายให้พร้อม หากพบว่ามีปัญหาเรื่องสายและช่องปาก ควรทำการแก้ไขและรักษาตั้งแต่อยู่ที่ประเทศไทยให้เรียบร้อย เพราะค่ารักษาด้านทันตกรรมและด้านต่าง ๆ มีใช้ค่าใช้จ่ายสูงนั่นเอง

ค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อปริญญาตรีที่ ประเทศอเมริกา

อย่างที่น้อง ๆ หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า ประเทศอเมริกามีการจัดเก็บค่าศึกษาเล่าเรียนค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็น เช่น

  • ค่าที่พักอาศัย อย่างเช่น ค่าหอพักทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย หากเช่าที่พักคนเดียวไม่มีรูมเมท ก็จะต้องรับผิดชอบค่าที่พักแบบ 100เปอร์เซ็นต์ และรับผิดชอบเรื่อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เพราะฉะนั้นต้องเลือกที่พักให้ดี และที่สำคัญราคาไม่ควรแพงมากเกินไป
  • ค่าครองชีพ ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับเมืองที่เลือกไปอยู่อาศัย ยิ่งเป็นเมืองใหญ่มักจะมีค่าครองชีพสูง ไม่ว่าจะเป็น ค่าอาหาร ค่าหนังสือ เครื่องเขียน ค่าของใช้ส่วนตัว ค่าโทรศัพท์ ค่าเดินทาง และอื่น ๆ

นอกจากนี้น้อง ๆ สามารถทำงานพิเศษในระหว่างที่ กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ได้ เพราะวีซ่าแบบ F-1 นักศึกษาสามารถทำงานในระหว่างที่เรียนอยู่ได้ แต่ต้องปฎิบัติตัวและทงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยงานที่นักศึกษาที่ถือวีซ่า F-1 สามารถทำได้มีอยู่ 2 ประเภท ดังนี้

  1. On-Campus เป็นการทำงานในมหาวิทยาลัย อย่างเช่น งานธุรการ บรรณารักษ์ โรงอาหาร ร้านค้า ร้านกาแฟ และงานอื่น ๆ สามารถทำเป็นรายชั่วโมงหรือจะทำแบบเต็มเวลาก็ได้ เพราะถือเป็นการสนับสนุนกิจการภายในมหาวิทยาลัย
  2. Off-Campus เป็นงานที่ทำนอกเขตมหาวิทยาลัย โดยเป็นการเปิดโอกาสในการหาเงิน หารายได้เสริมสำหรับเด็กที่กำลังประสบปัญหาด้านการเงิน หรือ ต้องการฝึกงานให้ตรงกับสายวิชาที่เรียน

ส่วนค่าเทอมหรือค่าเล่าเรียนของแต่ละมหาวิทยาลัยจะแตกต่างกัน และในสาขาวิชาที่เลือกเรียนก็มีค่าหน่วยกิตที่ต่างกันด้วยเช่นกัน  หากน้อง ๆ เลือกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนและมาหวิทยาลัยเฉพาะด้าน ค่าเทอมจะค่อนข้างสูง เพราะมีการอำนวยความสะดวกสบายให้กับนักศึกษาสมกับเป็นเอกชน แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยรัฐบาล จะมีค่าเทอมที่ค่อนข้างถูก เพราะได้รับเงินสนับสนุนจากทางรัฐบาลเข้าช่วย ทำให้มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่ามหาวิทยาลัยเอกชนนั่นเอง

สำหรับน้อง ๆ คนไหนที่สนใจจะไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อเมริกา สามารถขอรับข้อมูลและศึกษารายละเอียดต่าง ๆ ได้นี่ที่ หากต้องการคำปรึกษาเรื่องการวางแผนการเรียน ที่นี่มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาให้กับน้อง ๆ ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยอีกด้วย

Leave a Comment